รากฟันเทียม

รากฟันเทียม คืออะไร? ความรู้เบื้องต้นก่อนตัดสินใจฝังรากฟันเทียม


รากฟันเทียม คือวัสดุที่ทำจากโลหะไทเทเนียม มีลักษณะคล้ายสกรูหรือน็อตขนาดเล็ก ฝังลงในกระดูกขากรรไกรเพื่อทดแทนรากฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป โดยทันตแพทย์จะยึดครอบฟันหรือสะพานฟันเข้ากับรากเทียมนี้ เพื่อทดแทนฟันที่หายไปและทำให้ฟันใช้งานได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ

รากฟันเทียมประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  • รากเทียม (Fixture) ฝังในกระดูกขากรรไกร
  • เดือยรองรับครอบฟัน (Abutment) เชื่อมระหว่างรากเทียมกับครอบฟัน
  • ครอบฟัน (Crown) ซึ่งเป็นตัวฟันปลอมที่มองเห็นและใช้งานบดเคี้ยว



ใครเหมาะสมในการทำรากฟันเทียม


ผู้ที่เหมาะสมในการทำรากฟันเทียม คือ

  • ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากกระดูกขากรรไกรต้องเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จึงมีปริมาณและคุณภาพกระดูกเพียงพอสำหรับฝังรากเทียม
  • ผู้ที่สูญเสียฟันหนึ่งซี่หรือหลายซี่ ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ ฟันแตกหัก หรือถอนฟันออก และต้องการทดแทนฟันที่หายไป
  • ผู้ที่มีสุขภาพเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปากดี ไม่มีการอักเสบหรือติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อการสมานแผลและการยึดติดของรากเทียม
  • ผู้ที่ไม่ต้องการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้ หรือไม่ต้องการกรอฟันข้างเคียงเพื่อทำสะพานฟัน
  • ผู้ที่มีกระดูกเพียงพอ แต่หากประเมินแล้วกระดูกไม่เพียงพอสามารถแก้ไขด้วยการปลูกกระดูกเสริมเพิ่มได้

ผู้ที่ไม่เหมาะสมหรือควรเลี่ยงการทำรากฟันเทียม ได้แก่

  • ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
  • หญิงตั้งครรภ์ ควรรอหลังคลอดก่อนทำ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น โรคเบาหวานรุนแรง โรคมะเร็งที่ต้องฉายรังสีบริเวณใบหน้าและขากรรไกร โรคกระดูกพรุน โรคปริทันต์อักเสบรุนแรง
  • ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือมีภาวะสุขภาพที่ทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงติดเชื้อสูง
  • ผู้ที่มีปัญหาควบคุมกล้ามเนื้อ หรือไม่สามารถดูแลสุขภาพช่องปากได้เองอย่างเหมาะสม
  • ผู้ที่สูบบุหรี่จัดและไม่สามารถเลิกได้ เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อความล้มเหลวของรากเทียม

การประเมินความเหมาะสมในการทำรากฟันเทียมควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวางแผนการรักษาอย่างละเอียดและปลอดภัยที่สุด.



ข้อดีของการทำรากฟันเทียมเมื่อเทียบกับการใส่ฟันปลอมและสะพานฟัน


  • ทดแทนรากฟันธรรมชาติได้ใกล้เคียงที่สุด

รากฟันเทียมฝังลึกลงในกระดูกขากรรไกร ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ต่างจากฟันปลอมถอดได้ที่วางอยู่บนเหงือกและอาจเคลื่อนที่ได้

  • ไม่ต้องกรอฟันข้างเคียง

การทำสะพานฟันจำเป็นต้องกรอฟันซี่ข้างเคียงเพื่อเป็นหลักยึด แต่รากฟันเทียมไม่ต้องทำ ทำให้รักษาฟันธรรมชาติที่เหลือไว้ได้

  • ช่วยป้องกันการสูญเสียกระดูกขากรรไกร

รากฟันเทียมกระตุ้นกระดูกขากรรไกรเหมือนฟันธรรมชาติ ป้องกันการยุบตัวของกระดูกที่มักเกิดหลังสูญเสียฟัน ต่างจากฟันปลอมที่ไม่ช่วยกระตุ้นกระดูก

  • เพิ่มประสิทธิภาพการบดเคี้ยวและพูดได้เป็นธรรมชาติ

รากฟันเทียมยึดติดแน่นกับกระดูก ทำให้บดเคี้ยวได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ และช่วยให้พูดออกเสียงได้ชัดเจนกว่าฟันปลอมถอดได้

  • ความมั่นใจและความสวยงาม

รากฟันเทียมออกแบบให้กลมกลืนกับฟันธรรมชาติ ทำให้ผู้ใช้ยิ้มและพูดได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องกังวลว่าฟันจะหลุดหรือเคลื่อน

  • ดูแลรักษาง่าย

รากฟันเทียมดูแลเหมือนฟันธรรมชาติ ไม่ต้องถอดออกมาทำความสะอาดเหมือนฟันปลอมถอดได้ และไม่เกิดฟันผุซ้ำในบริเวณนั้น

  • อายุการใช้งานยาวนาน

รากฟันเทียมมีความทนทาน ใช้งานได้อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป หากดูแลรักษาดี อาจใช้งานได้ตลอดชีวิต ต่างจากฟันปลอมที่ต้องเปลี่ยนบ่อย



ประเภทของรากฟันเทียม: แบบซี่เดียว หลายซี่ และทั้งปาก แตกต่างกันอย่างไร

ประเภทของรากฟันเทียมแบ่งตามจำนวนซี่ฟันที่ต้องทดแทนได้เป็น 3 แบบหลัก ดังนี้:

รายละเอียดเพิ่มเติม

  • รากฟันเทียมซี่เดียวเหมาะกับคนไข้ที่ต้องการทดแทนฟันเพียงซี่เดียวโดยไม่กระทบฟันข้างเคียง
  • รากฟันเทียมหลายซี่ใช้สะพานฟันเชื่อมต่อระหว่างรากเทียม เหมาะกับการทดแทนฟันหลายซี่ติดกัน
  • รากฟันเทียมทั้งปากมักใช้ในกรณีที่ฟันหายเกือบทั้งหมด โดยฝังรากเทียมจำนวนหลายจุดเพื่อรองรับฟันปลอมแบบถาวรหรือถอดได้

ทั้งนี้ การเลือกประเภทขึ้นอยู่กับสภาพกระดูกขากรรไกรและจำนวนฟันที่ต้องการทดแทน รวมถึงงบประมาณและความต้องการส่วนตัวของผู้ป่วย




รากฟันเทียมยี่ห้อไหนดี? รีวิวแบรนด์ดังที่ทันตแพทย์แนะนำ


รากฟันเทียมยี่ห้อที่ทันตแพทย์แนะนำและได้รับความนิยมสูงในตลาดมี 3 แบรนด์หลัก ดังนี้:

  1. Straumann แบรนด์จากสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผลิตจากไทเทเนียมคุณภาพสูง มีงานวิจัยรองรับความสำเร็จและความแข็งแรงของรากเทียม ผิวรากเทียมถูกออกแบบให้ยึดติดกับกระดูกได้ดี ช่วยให้แผลหายเร็วและใช้งานได้นาน เหมาะกับผู้ที่ไม่จำกัดงบประมาณและต้องการคุณภาพสูงสุด
  2. Astra Tech รากฟันเทียมจากประเทศสวีเดนที่มีประวัติการใช้กว่า 30 ปี มีจุดเด่นเรื่องการรักษาระดับกระดูกโดยรอบและผลลัพธ์ระยะยาว เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรากเทียมคุณภาพยุโรปในราคาปานกลาง
  3. Hiossen (Osstem) แบรนด์จากเกาหลีใต้ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา มีมาตรฐานระดับโลก เช่น CE, FDA, ISO ออกแบบให้เหมาะกับสรีระกระดูกขากรรไกรคนเอเชีย ราคาไม่สูงมากแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่าและคุณภาพดีในงบประมาณกลางถึงกลางบน

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • การเลือกยี่ห้อรากฟันเทียมควรพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรับประกันและบริการหลังการขาย
  • สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกทันตแพทย์ผู้มีประสบการณ์และความชำนาญในการฝังรากฟันเทียม เพราะฝีมือแพทย์มีผลต่อความสำเร็จของการรักษามากกว่ายี่ห้อ
  • ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อเลือกยี่ห้อที่เหมาะสมกับสภาพช่องปากและงบประมาณของแต่ละคน

ดังนั้น รากฟันเทียมยี่ห้อไหนดี จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและคำแนะนำจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก



ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม: เตรียมตัวอย่างไรและต้องรู้ก่อนทำ


ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม

  1. ประเมินสภาพฟันและกระดูก ทันตแพทย์จะตรวจสภาพฟัน เหงือก และกระดูกขากรรไกรด้วยการเอกซเรย์หรือสแกน 3 มิติ เพื่อดูว่ากระดูกมีความแข็งแรงและปริมาณเพียงพอสำหรับฝังรากฟันเทียมหรือไม่ รวมถึงวางแผนตำแหน่งที่จะฝังรากเทียม
  2. ผ่าตัดฝังรากเทียม ทันตแพทย์จะกรีดเปิดเหงือกและเจาะรูในกระดูกขากรรไกรเพื่อฝังรากเทียมที่ทำจากไทเทเนียมลงไป ซึ่งวัสดุนี้มีความเข้ากับร่างกายและทนทานสูง
  3. พักฟื้นและรอการยึดติดของกระดูก หลังฝังรากเทียม จะต้องรอให้กระดูกขากรรไกรสมานและยึดติดกับรากเทียม (Osseointegration) ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายแต่ละคน
  4. ใส่เดือยรองรับครอบฟันและพิมพ์ปาก เมื่อติดแน่นแล้ว จะใส่เดือยรองรับครอบฟันและพิมพ์ปากเพื่อทำครอบฟันที่เหมาะสม
  5. ใส่ครอบฟัน ครอบฟันที่ออกแบบมาให้เหมือนฟันธรรมชาติจะถูกติดตั้ง ทำให้สามารถใช้งานบดเคี้ยวได้เหมือนฟันจริง

การเตรียมตัวก่อนทำรากฟันเทียม

  • รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ

ควรรับประทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนวันผ่าตัด และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

  • หยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์

เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงการติดเชื้อ

  • แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว

รวมถึงยาที่รับประทานเป็นประจำ เพื่อให้ทันตแพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างปลอดภัย

  • ตรวจสุขภาพช่องปากและเคลียร์ช่องปากให้สะอาด

เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงในระหว่างการผ่าตัด

  • ปรับทัศนคติและเตรียมใจ

เตรียมพร้อมรับมือกับความรู้สึกเจ็บตอนฉีดยาชาและขั้นตอนการรักษาที่อาจใช้เวลานาน

  • วางแผนพักฟื้นหลังผ่าตัด

ควรเตรียมอาหารอ่อน ๆ และวางแผนหยุดพักงาน 1-2 วันแรก รวมถึงงดออกกำลังกายประมาณ 1 สัปดาห์

  • สำหรับผู้มีโรคประจำตัวหรือใช้ยากลุ่มบางชนิด

ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้รักษาและอาจต้องรับยาปฏิชีวนะก่อนการรักษา เช่น ผู้ที่มีโรคหัวใจรุนแรง หรือรับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด

การเตรียมตัวและทำความเข้าใจขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้การทำรากฟันเทียมปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว




รากฟันเทียมราคาเท่าไหร่? ปัจจัยที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย


รากฟันเทียมมีราคาประมาณ 30,000–50,000 บาทต่อซี่ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและประเภทของการรักษา เช่น รากฟันเทียมแบบซี่เดียว หลายซี่ หรือแบบทั้งปาก (All on 4) ซึ่งราคาส่วนใหญ่จะรวมครอบฟันแล้ว แต่ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าเอกซเรย์ CT, การเคลียร์ช่องปาก หรือการปลูกกระดูกในกรณีจำเป็น


ตัวอย่างราคายี่ห้อรากฟันเทียม (ต่อซี่)

ยี่ห้อ ราคาประมาณ (บาท)

Biotem 25,000–40,000

Osstem 30,000–48,000

Neodent 35,000–53,000

Ankylos 40,000–58,000

Camlog 45,000–62,000

Straumann 55,000–75,000

สำหรับการทำรากฟันเทียมทั้งปากแบบ All on 4 ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 200,000–400,000 บาท ขึ้นกับยี่ห้อและจำนวนรากเทียมที่ฝัง


ปัจจัยที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย

  • ยี่ห้อรากฟันเทียม ที่มีคุณภาพสูงและชื่อเสียงดี ราคาจะสูงกว่า
  • จำนวนซี่ฟันที่ต้องทดแทน มากขึ้น ราคาก็จะสูงตาม
  • การปลูกกระดูกหรือเนื้อเยื่อเสริม หากกระดูกไม่เพียงพอ ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
  • เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น การใช้เครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ หรือระบบดิจิทัลช่วยผ่าตัด
  • ความชำนาญของทันตแพทย์ และสถานที่ทำการรักษา




การดูแลหลังทำรากฟันเทียม: วิธีรักษาความสะอาดและยืดอายุการใช้งาน


การดูแลหลังทำรากฟันเทียมอย่างถูกวิธีมีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้แผลหายดีและยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียม โดยมีแนวทางหลักดังนี้:

การดูแลในช่วงแรกหลังผ่าตัด

  • งดบ้วนน้ำหรือน้ำยาบ้วนปากในวันแรก เพื่อป้องกันแผลเปิดและเลือดออก
  • ใช้ก้านสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดบริเวณแผล และล้างด้วยน้ำเกลืออุ่นอย่างอ่อนโยน
  • รับประทานอาหารอ่อนหรือเหลว หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด แข็ง หรือรสจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ฟันที่ทำรากเทียมบดเคี้ยวแรง ๆ และงดออกกำลังกายหนักในช่วงแรก
  • นอนหมอนสูงเพื่อลดอาการบวม และประคบเย็นบริเวณแก้มเพื่อบรรเทาอาการบวมและปวด
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะชะลอการสมานแผลและเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ
  • รับประทานยาตามคำสั่งทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

การดูแลระยะยาวเพื่อยืดอายุรากฟันเทียม

  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยใช้แปรงขนนุ่มและแปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดรอบ ๆ รากเทียม
  • ใช้ไหมขัดฟันหรืออุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดซอกฟัน เช่น แปรงซอกฟันหรือ Waterpik เพื่อขจัดคราบแบคทีเรียที่อาจสะสม
  • บ้วนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือผสมฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนนอน
  • หลีกเลี่ยงการกัดหรือเคี้ยวอาหารแข็ง เช่น น้ำแข็ง กระดูกอ่อน ที่อาจทำให้ครอบฟันแตกหรือรากเทียมเสียหาย
  • ตรวจสุขภาพช่องปากและรากฟันเทียมกับทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อประเมินสภาพและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
  • หากมีพฤติกรรมกัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำอุปกรณ์ป้องกัน
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟมากเกินไป ที่ทำให้เกิดคราบและเหงือกอักเสบ

การดูแลที่ดีและการปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์จะช่วยให้รากฟันเทียมมีอายุการใช้งานยาวนานและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ



รากฟันเทียมเจ็บไหม? รีวิวประสบการณ์จริงจากผู้ที่เคยทำ


การทำรากฟันเทียมโดยทั่วไป ไม่เจ็บมากอย่างที่คิด เนื่องจากทันตแพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่ในระหว่างการผ่าตัด ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บปวดขณะทำ ความรู้สึกเจ็บจะคล้ายกับการถอนฟันธรรมดา และหลังจากยาชาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการเจ็บปวดหรือระบมเล็กน้อยบริเวณที่ทำรากฟันเทียม ซึ่งเป็นอาการปกติและมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน

ผู้ที่มีสภาพกระดูกและเนื้อเยื่อเหงือกดี จะมีอาการเจ็บน้อยและฟื้นตัวเร็วกว่า แต่หากต้องเสริมกระดูกหรือเนื้อเยื่อเหงือก อาการเจ็บอาจมากขึ้นและใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า การประคบเย็นบริเวณแก้มใน 24-72 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดช่วยลดบวมและเจ็บได้ดี


รีวิวจากผู้ที่เคยทำรากฟันเทียมระบุว่า

  • อาการเจ็บจะมีมากใน 12-48 ชั่วโมงแรกและลดลงเรื่อย ๆ
  • สามารถบรรเทาอาการเจ็บด้วยยาแก้ปวดทั่วไปตามคำแนะนำทันตแพทย์
  • อาการบวมและรอยช้ำเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเจ็บหรือบวมนานเกิน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการผิดปกติ เช่น มีหนอง เลือดออกมาก หรือรากเทียมโยก ควรรีบพบแพทย์ทันที


สรุปคือ การทำรากฟันเทียมมีความเจ็บปวดในระดับที่ควบคุมได้และมักไม่รุนแรงมาก อาการเจ็บจะลดลงอย่างรวดเร็วหากดูแลตัวเองตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด




ถ้าไม่ทำรากฟันเทียม มีทางเลือกอื่นไหม


หากไม่ทำรากฟันเทียม ยังมีทางเลือกอื่นในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป ดังนี้:

  • ฟันปลอมแบบถอดได้ (Removable Denture)

เป็นวิธีที่นิยมและเข้าถึงได้ง่ายที่สุด ใช้ชิ้นฟันปลอมวางบนเหงือก สามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ แต่มีข้อจำกัดเรื่องความมั่นคงในการใช้งาน ฟันปลอมอาจหลวม เคลื่อนขณะพูดหรือเคี้ยว และแรงบดเคี้ยวต่ำกว่าฟันธรรมชาติหรือรากฟันเทียม

  • สะพานฟัน (Dental Bridge)

เป็นการทดแทนฟันที่หายไปโดยใช้ฟันข้างเคียงเป็นหลักยึด ต้องกรอฟันข้างเคียงเพื่อทำสะพานฟัน ซึ่งอาจทำให้ฟันข้างเคียงอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อปัญหาฟันผุหรือเหงือกอักเสบในอนาคต

  • รากฟันเทียมแบบ All-on-4

เป็นเทคนิครากฟันเทียมสำหรับทดแทนฟันทั้งขากรรไกร โดยใช้รากเทียมเพียง 4 รากฝังในกระดูกแล้วติดตั้งฟันปลอมแบบติดแน่นทันที เหมาะกับผู้ที่สูญเสียฟันจำนวนมากหรือทั้งปาก ช่วยลดเวลาการรักษาและความจำเป็นในการปลูกกระดูก

  • ไม่ทดแทนฟันเลย

ในบางกรณีผู้ป่วยอาจเลือกไม่ทำการทดแทนฟันที่สูญเสียไป แต่จะส่งผลต่อการบดเคี้ยว พูด และสุขภาพช่องปาก เช่น กระดูกขากรรไกรยุบตัว ฟันข้างเคียงล้มลง หรือฟันตรงข้ามยื่นยาวขึ้น




รากฟันเทียม ทำที่ไหนดี


การเลือกคลินิกรากฟันเทียมให้ได้มาตรฐานและปลอดภัย ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญดังนี้:

  • คลินิกต้องได้มาตรฐานตามหลักกระทรวงสาธารณสุข

ตรวจสอบว่าเป็นคลินิกทันตกรรมที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ 11 หลัก สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความมั่นใจในความถูกต้องและความปลอดภัยของสถานพยาบาล

  • ทันตแพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านรากฟันเทียม

ควรเลือกคลินิกที่มีทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูง เพราะการฝังรากฟันเทียมเป็นหัตถการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความชำนาญเพื่อป้องกันความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน

  • มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีทันสมัย

คลินิกควรมีเครื่องมือทันตกรรมที่ทันสมัย เช่น เครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ (CBCT) และระบบดิจิทัลช่วยวางแผนการฝังรากฟันเทียม เพื่อความแม่นยำและปลอดภัยในการรักษา

  • ความสะอาดและความปลอดภัยของคลินิก

ต้องรักษาความสะอาดของคลินิกและเครื่องมืออย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและให้การรักษามีคุณภาพสูง

  • รีวิวและความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้บริการจริง

ควรอ่านรีวิวและสอบถามประสบการณ์จากผู้ที่เคยเข้ารับบริการ เพื่อประเมินคุณภาพการรักษาและการดูแลหลังการรักษา รวมถึงการบริการของคลินิก

  • บริการหลังการรักษาและการติดตามผล

เนื่องจากการทำรากฟันเทียมต้องติดตามผลและดูแลอย่างต่อเนื่อง คลินิกควรมีระบบบริการที่ดี มีความเอาใจใส่และตอบคำถามคนไข้ได้อย่างครบถ้วน

  • ความสะดวกในการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวก

เลือกคลินิกที่เดินทางสะดวก มีที่จอดรถหรือเข้าถึงได้ง่ายด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อความสะดวกในการเข้ามารับบริการหลายครั้ง


โปรโมชั่น รากฟันเทียมที่ คลินิกทันตกรรมเอล ห้วยขวาง คลิ๊ก


อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับรากฟันเทียม คลิ๊ก

หมายเหตุ :อัตราค่ารักษาอื่น ๆ ท่านสามารถโทรสอบถามได้จากทางคลินิก

อัตราค่ารักษาดังกล่าวเป็นการประเมินในเบื้องต้น

ค่าใช้จ่ายจริงทันตแพทย์จะเป็นผู้แจ้งให้ท่านทราบหลังจากทำการตรวจ ปรึกษาและวางแผนรักษาแล้ว

ราคานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

รีวิว

ติดต่อเรา

เอล คลินิกทันตกรรม

ห้วยขวาง

เบอร์โทร

099-394-5614 , 064-662-9624

ที่อยู่

425 ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กทม. 10310

เวลาทำการ

11:00-20:00 น.(ทุกวัน)